นวัตกรรม เครื่องอัดลมแบบสกรู มาดูว่าทำงานอย่างไร

เครื่องอัดลมแบบสกรู นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตน้ำมัน,โรงงานประกอบรถยนต์, โรงงานทำกระดาษ เป็นต้น ลมจึงเป็นส่วนหนึ่งของระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมและมีระบบการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องอัดลมและการติดตั้งจึงจำเป็นต้องทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เครื่องอัดลม นั้นมีหลากหลายชนิดและหลายขนาดได้แก่ ลูกสูบแบบโรตารี, แบบไดอะแฟรมและแบบสกรู สำหรับบทความนี้จะกล่าวถึงเครื่องอัดลมแบบสกรู ซึ่งเป็นที่นิยมกันแพร่หลายในปัจจุบัน

เครื่องอัดลม

เครื่องอัดลม มีหลักการทำงานโดยให้เพลาสกรูสองตัว(เพลาสกรูตัวผู้และเพลาสกรูตัวเมีย)หมุนเข้าหากันดูดเเละอัดอากาศผ่านเกลี่ยวสกรู และใช้เเบริ่งช่วยลดเเรงเสียดทานรองรับน้ำหนักรับเพลาให้เที่ยงตรงทั้งแนวรัศมีและแนวแกน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้สกรูสองตัวสัมผัสกัน ส่วนการระบายความร้อนจะมีทั้งการใช้อากาศ น้ำ และน้ำมัน เป็นตัวระบายความร้อนขณะทำงาน

โครงสร้างของเครื่องอัดลมแบบสกรู ประกอบด้วยเพลาสกรูที่หมุนขบกันเพลาตัวหนึ่งจะมีสกรูเป็นแบบสันนูน เรียกว่าเพลาตัวผู้จะมีทั้งหมด 5 สันนูน และเพลาสกรูที่มีสันเว้าเป็นร่องเรียกว่า สกรูตัวเมีย มีทั้งหมด 6 ร่อง เพลาสกรูทั้งสองตัวนี้จะประกอบอยู่ในตัวเรือนเดียวกัน (housing) ลมจะถูกดูดจากทางเข้าซึ่งอยู่ด้านบนของสกรู เมื่อสกรูทั้งสองตัวถูกขับด้วยมอเตอร์ให้หมุนโดยสกรู ตัวผู้จะเป็นตัวขับ และตัวเมียจะหมุนตาม ช่องว่างทางด้านเข้าก็จะถูกปิดและปริมาตรช่องว่างระหว่างสกรูทั้งสองตัวก็จะลดลงด้วยทำให้ลมที่อยู่ภายในมีปริมาตรลดลง แต่ความดันจะสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีน้ำมันถูกอัดเข้าไปในช่องว่างด้วย เมื่อเพลาสกรูหมุนไปครบรอบ ลมจะถูกอัดให้มีความดันสูงที่สุดแล้วปล่อยออกมาทางด้านล่างซึ่งเป็นทางออก ขั้นตอนการดูดและการอัดจะเกิดขึ้นเป็นจำนวน 5 ครั้งต่อการหมุนของเพลา 1 รอบ (เพลาสกรูมีทั้งหมด 5 สันนูน) เมื่อต่อเข้ากับมอเตอร์มีความเร็ว 3,000 รอบต่อนาที ก็จะเกิดการอัดลม 15,000 ครั้งต่อนาที ทำให้เกิดลมอัดอย่างต่อเนื่องและได้ความดันลมที่แน่นอนไม่สูงและไม่ต่ำ เหมือนเครื่องอัดลมแบบลูกสูบหรือชนิดอื่น

ทำไมโรงงานส่วนใหญ่จึงเลือกใช้เครื่องอัดลมแบบสกรู

เครื่องอัดลม ได้ถูกออกแบบและพัฒนามาอย่างดีเยี่ยม ทำให้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงงานต่างๆ โดยมีจุดเด่นคือ
– ให้ปริมาณลมอัดที่มากกว่าระบบอื่นๆ ในขณะที่ใช้พลังงานเท่ากัน
– ปริมาณไอน้ำมันที่เกิดขึ้นขณะเดินเครื่อง มีการปะปนกับลมอัดที่ต่ำมาก ประมาณ 5-7มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งช่วยยึดอายุให้กับอุปกรณ์ลมต่างๆ
– เสียงของเครื่องอัดลมแบบสกรูเรียบมาก ซึ่งต่างจากแบบลูกสูบที่มีเสียงดังกว่ามาก
– มีระบบการควบคุมแบบ Dual control ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
– การติดตั้งง่ายเพียงต่อท่อเข้ากับเครื่องอัดลมและต่อสายไฟเข้าก็สามารถเดินเครื่องได้ทันที โดยไม่ต้องสร้างฐานรองรับเครื่อง เพราะเครื่องอัดลมแบบสกรูมีความสั่นสะเทือนน้อยมาก
– เครื่องอัดลมแบบสกรูมีให้เลือกหลายขนาดตั้งแต่ 4kW จนถึง 600kW และยังมีแบบ Oil-Free อีกด้วย

ประเภทของเครื่องอัดลมแบบสกรู
1. แบบฉีดน้ำมัน (Oil-injected)
– มีระบบหล่อลื่นแบบฉีดน้ำมัน
– เหมาะสำหรับงานทั่วไป
– การบำรุงรักษาง่าย
– ราคาไม่แพงมาก
2. แบบปลอดน้ำมัน (Oil-free)
– ไม่มีการปนเปื้อนของน้ำมัน
– เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและยา
– ต้องการการบำรุงรักษาที่พิถีพิถัน
– ราคาสูงกว่าแบบฉีดน้ำมัน

ข้อดีของเครื่องอัดลมแบบสกรู
ประสิทธิภาพการทำงาน
– ให้แรงดันคงที่
– ประหยัดพลังงาน
– ทำงานต่อเนื่องได้นาน
– เสียงรบกวนน้อย

ความทนทาน
– อายุการใช้งานยาวนาน
– ชิ้นส่วนสึกหรอน้อย
– บำรุงรักษาง่าย

เครื่องอัดลมแบบสกรูเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะสมสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม การเลือกใช้และบำรุงรักษาอย่างถูกต้องจะช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน การทำความเข้าใจหลักการทำงานและการดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ใช้งานทุกคน

ควรเลือกเครื่องอัดลมขนาดเท่าไร

เครื่องอัดลม เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับงานหลากหลายประเภท ตั้งแต่งานในครัวเรือนไปจนถึงงานอุตสาหกรรม การเลือกขนาดเครื่องอัดลมที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกขนาดเครื่องอัดลม
1. ปริมาณลมที่ต้องการใช้ (CFM – Cubic Feet per Minute)
CFM เป็นหน่วยวัดปริมาณลมที่เครื่องอัดลมสามารถผลิตได้ต่อนาที

ตัวอย่าง CFM ที่ต้องการสำหรับเครื่องมือต่างๆ
– ปืนพ่นสี: 3-11 CFM
– เครื่องขันนอต: 2.5-4 CFM
– สว่านลม: 3-6 CFM
– เครื่องเจียรลม: 4-8 CFM
– เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง: 13-20 CFM

2. แรงดันลม (PSI – Pounds per Square Inch)
แรงดันลมที่เครื่องอัดลมสามารถผลิตได้
ตัวอย่างแรงดันที่ต้องการสำหรับงานต่างๆ
– งานพ่นสี: 30-50 PSI
– งานเป่าทำความสะอาด: 50-90 PSI
– งานใช้เครื่องมือลม: 90-120 PSI
– งานอุตสาหกรรม: 120-150 PSI

3. ขนาดถังเก็บลม
ขนาดถังมีผลต่อระยะเวลาที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้
แนวทางการเลือกขนาดถัง
– งานในครัวเรือน: 20-30 ลิตร
– งานอู่ซ่อมรถขนาดเล็ก: 50-100 ลิตร
– งานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก: 100-200 ลิตร
– งานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่: 200 ลิตรขึ้นไป

4. กำลังมอเตอร์ (แรงม้า)
กำลังมอเตอร์มีผลต่อความสามารถในการผลิตลมอัด
ตัวอย่างการเลือกกำลังมอเตอร์
– 1-2 แรงม้า: เหมาะสำหรับงานในครัวเรือน
– 2-3 แรงม้า: เหมาะสำหรับงานอู่ซ่อมรถขนาดเล็ก
– 3-5 แรงม้า: เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก
– 5 แรงม้าขึ้นไป: เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

ประเภทของงานและขนาดเครื่องอัดลมที่เหมาะสม
1. งานในครัวเรือน
– ลักษณะงาน : เป่าฝุ่น เติมลมยาง งานDIY ขนาดเล็ก
– ขนาดที่แนะนำ :
– CFM: 2-5 CFM
– แรงดัน: 90-120 PSI
– ขนาดถัง: 20-30 ลิตร
– กำลังมอเตอร์: 1-2 แรงม้า
– ราคาโดยประมาณ : 3,000-10,000 บาท

2. งานอู่ซ่อมรถขนาดเล็ก
– ลักษณะงาน : ถอดล้อ พ่นสี เติมลมยาง
– ขนาดที่แนะนำ :
– CFM: 5-15 CFM
– แรงดัน: 120-150 PSI
– ขนาดถัง: 50-100 ลิตร
– กำลังมอเตอร์: 2-3 แรงม้า
– ราคาโดยประมาณ : 10,000-30,000 บาท

3. งานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก
– ลักษณะงาน : ใช้เครื่องมือลมหลายตัวพร้อมกัน
– ขนาดที่แนะนำ :
– CFM: 15-30 CFM
– แรงดัน: 150-175 PSI
– ขนาดถัง: 100-200 ลิตร
– กำลังมอเตอร์: 3-5 แรงม้า
– ราคาโดยประมาณ : 30,000-100,000 บาท

4. งานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
– ลักษณะงาน : โรงงานผลิต งานต่อเนื่อง
– ขนาดที่แนะนำ :
– CFM: 30 CFM ขึ้นไป
– แรงดัน: 175 PSI ขึ้นไป
– ขนาดถัง: 200 ลิตรขึ้นไป
– กำลังมอเตอร์: 5 แรงม้าขึ้นไป
– ราคาโดยประมาณ : 100,000 บาทขึ้นไป

วิธีคำนวณขนาดเครื่องอัดลมที่เหมาะสม
1. คำนวณ CFM รวมที่ต้องการ
1. ระบุเครื่องมือทั้งหมดที่จะใช้
2. หา CFM ของแต่ละเครื่องมือ
3. รวม CFM ทั้งหมด
4. เพิ่ม 25% สำหรับการสูญเสียและการใช้งานในอนาคต

ตัวอย่าง :
– ปืนพ่นสี: 8 CFM
– เครื่องขันนอต: 4 CFM
– รวม: 12 CFM
– เพิ่ม 25%: 12 × 1.25 = 15 CFM

2. พิจารณาลักษณะการใช้งาน
– ใช้งานต่อเนื่องหรือเป็นช่วง
– จำนวนผู้ใช้งานพร้อมกัน
– ความถี่ในการใช้งาน

ข้อควรระวังในการเลือกขนาดเครื่องอัดลม
1. การเลือกขนาดใหญ่เกินไป
– สิ้นเปลืองพลังงาน
– ต้นทุนสูงเกินความจำเป็น
– ใช้พื้นที่มาก

2. การเลือกขนาดเล็กเกินไป
– ทำงานหนักเกินไป อายุการใช้งานสั้น
– ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
– ต้องรอลมเติมบ่อย

การบำรุงรักษาเครื่องอัดลม
1. การบำรุงรักษาประจำวัน
– ตรวจสอบระดับน้ำมัน
– ระบายน้ำออกจากถังลม
– ตรวจสอบสายพานและการรั่วซึม

2. การบำรุงรักษาประจำเดือน
– เปลี่ยนไส้กรองอากาศ
– ตรวจสอบวาล์วนิรภัย
– ทำความสะอาดครีบระบายความร้อน

3. การบำรุงรักษาประจำปี
– เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
– ตรวจสอบและขันน็อตต่างๆ
– ตรวจสอบระบบไฟฟ้า

ปัญหาที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
1. เครื่องทำงานบ่อยเกินไป
– สาเหตุ : อาจมีการรั่วของระบบ
– วิธีแก้ไข : ตรวจสอบและซ่อมจุดรั่ว

2. ลมไม่พอใช้งาน
– สาเหตุ : เลือกขนาดเครื่องเล็กเกินไป
– วิธีแก้ไข : พิจารณาเปลี่ยนเป็นเครื่องขนาดใหญ่ขึ้น

การเลือกขนาดเครื่องอัดลมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและค่าใช้จ่ายในระยะยาว ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ทั้ง CFM แรงดัน ขนาดถัง และกำลังมอเตอร์ นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงการบำรุงรักษาที่เหมาะสมเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องอัดลม การลงทุนในเครื่องอัดลมที่มีคุณภาพและขนาดที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าในระยะยาว https://www.aircomsupply.com/